การเลือกใช้งาน Architecture เช่น Microservice, Monolith และอื่นๆ

Dec. 21, 2024 · boychawin

ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ การออกแบบ Software Architecture เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการขยายระบบ โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักรูปแบบยอดนิยม เช่น Monolith, Microservice, และอื่นๆ พร้อมคำแนะนำในการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับโปรเจค


1. Monolithic Architecture

Monolith คือการออกแบบที่รวบรวมทุกฟังก์ชันของระบบไว้ในโค้ดเบสเดียว ซึ่งทุกส่วนของระบบ เช่น UI, Backend, และ Database ถูกจัดการในแอปพลิเคชันเดียว

ข้อดี:

  • การพัฒนาเริ่มต้นง่าย ใช้เวลาน้อย
  • โครงสร้างตรงไปตรงมาเหมาะกับทีมเล็ก
  • การดีบักและการ deploy ทำได้ง่ายเพราะเป็นชุดเดียว

ข้อเสีย:

  • ขยายระบบยากเมื่อโปรเจคใหญ่ขึ้น
  • การ deploy ต้องทำทั้งระบบ แม้จะเปลี่ยนแปลงเพียงส่วนเดียว
  • อาจเกิดปัญหาคอขวดเมื่อระบบใหญ่ขึ้น

เหมาะสำหรับ:

  • โปรเจคขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
  • ทีมพัฒนาขนาดเล็ก
  • โปรเจคที่ไม่ได้คาดว่าจะมีการขยายตัวในอนาคต

ตัวอย่าง:

Application
  ├── UI
  ├── Business Logic
  └── Database Access

2. Microservices Architecture

Microservices แบ่งระบบออกเป็นชุดของบริการย่อย (services) ซึ่งแต่ละ service ทำงานแบบอิสระ มีหน้าที่เฉพาะ และสามารถ deploy ได้แยกจากกัน

ข้อดี:

  • ระบบมีความยืดหยุ่นสูง ปรับขยายได้ง่าย
  • แต่ละทีมสามารถพัฒนา service ของตัวเองได้อย่างอิสระ
  • ถ้าบริการหนึ่งล้ม เหลือบริการอื่นยังทำงานได้

ข้อเสีย:

  • การออกแบบและพัฒนาซับซ้อน
  • ต้องการ DevOps และเครื่องมือที่ดี เช่น CI/CD
  • การดีบักและการจัดการ dependencies ระหว่าง service อาจยากขึ้น

เหมาะสำหรับ:

  • โปรเจคขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายได้ในอนาคต
  • ทีมพัฒนาขนาดใหญ่ที่สามารถแบ่งงานเป็นทีมย่อย
  • ระบบที่ต้องการ uptime สูงและรองรับผู้ใช้จำนวนมาก

ตัวอย่าง:

User Service  --> Manages user accounts
Product Service --> Handles product catalog
Order Service --> Manages order processing

3. Serverless Architecture

Serverless เน้นการใช้งานระบบคลาวด์ เช่น AWS Lambda หรือ Google Cloud Functions โดยไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์เอง ระบบจะรันฟังก์ชันตามการเรียกใช้งานเท่านั้น

ข้อดี:

  • ไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์เอง
  • จ่ายเงินตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go)
  • รองรับการขยายตัวอัตโนมัติ

ข้อเสีย:

  • จำกัดทรัพยากรและ runtime ของฟังก์ชัน
  • Latency อาจสูงในบางกรณี (cold start)
  • การพัฒนาระบบขนาดใหญ่ซับซ้อนขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับระบบอื่น

เหมาะสำหรับ:

  • โปรเจคขนาดเล็ก เช่น งานที่ต้องการตอบสนองแบบเรียลไทม์
  • ระบบที่มีทราฟฟิกไม่คงที่
  • การพัฒนา MVP หรือ POC

4. Event-Driven Architecture

ระบบที่ทำงานโดยอิงกับอีเวนต์ (Events) โดยใช้ข้อความ (Messages) เป็นตัวกลางระหว่างบริการ เช่น RabbitMQ, Kafka

ข้อดี:

  • การแยกบริการออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์
  • รองรับปริมาณข้อมูลสูง
  • มีความยืดหยุ่นและรองรับการเพิ่มบริการใหม่ได้ง่าย

ข้อเสีย:

  • ต้องการการออกแบบที่ดีเพื่อจัดการกับการส่งข้อความ
  • การ debug อาจซับซ้อนหากอีเวนต์ล้มเหลว

เหมาะสำหรับ:

  • ระบบที่ต้องการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เช่น ระบบจองตั๋ว
  • ระบบที่มีข้อมูลจำนวนมากที่ต้องประมวลผลแบบกระจาย

การเลือกใช้ Architecture ให้เหมาะสม

การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:

  1. ขนาดของโปรเจค: - โปรเจคเล็ก: Monolith, Serverless - โปรเจคใหญ่: Microservices, Event-Driven

  2. ทรัพยากรและทีมพัฒนา: - ทีมเล็ก: Monolith, Serverless - ทีมใหญ่: Microservices

  3. ความยืดหยุ่นและการขยายตัวในอนาคต: - ถ้าคาดว่าจะต้องขยายระบบ: Microservices - ถ้าระบบไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย: Monolith

  4. ต้นทุน: - หากต้องการลดต้นทุนการดูแลเซิร์ฟเวอร์: Serverless - หากต้องการบริหารต้นทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน: Microservices

สรุป

ไม่มี architecture ไหนที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ การเลือกใช้งานต้องพิจารณาจากความเหมาะสมกับโปรเจค, ขนาดของทีม, และความต้องการในอนาคต เช่น ถ้าคุณเริ่มต้นโปรเจคขนาดเล็ก Monolith อาจเพียงพอ แต่ถ้าโปรเจคขยายตัวใหญ่ขึ้น คุณอาจต้องพิจารณาเปลี่ยนเป็น Microservices หรือ Event-Driven ในภายหลัง